Jeff Bezos, Amazon สนใจ Toy “R” Us หลังจากประกาศจะปิดสาขาทั้งสหรัฐอเมริกา

หลังจากธุรกิจค้าปลีกของเล่นนาม Toy “R” Us ประกาศเมื่อต้นเดือน มีนาคม 2018 ว่า อาจจะต้องปิดสาขาทั้งสหรัฐอเมริกาที่มีอยู่กว่า 800 แห่งทั้งหมดภายในปี 2018 ทางฝั่ง Amazon.com ธุรกิจ อีคอมเมิร์ซมาร์เก็ตเพลส รายใหญ่ก็เริ่มมีสัญญาณเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญทันที

Amazon สนใจพื้นที่ ไม่ได้สนใจธุรกิจของเล่น

สำนักข่าว Bloomberg เป็นรายแรก ๆ ที่รายงานข่าวความเคลื่อนไหวของ Amazon ในครั้งนี้ โดยได้รับข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการว่า Amazon ยักษ์ใหญ่แห่งธุรกิจอีคอมเมิร์ซมาร์เก็ตเพลส กำลังพิจารณาที่จะเข้ารับช่วงต่อหน้าร้านที่ถูกปิดตัวลงของ Toy “R” Us โดยการเข้าครอบครองต่อในครั้งนี้ ไม่ได้เพื่อดำเนินกิจการของเล่น แต่เพื่อขยายฐานการค้าปลีกฝั่ง Offline ให้กับสินค้าของ Amazon

เป็นที่ทราบกันดีว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon มีการรุกขยายกิจการฝั่งหน้าร้านแบบ Offline อย่างมีนัยสำคัญ อาทิ Amazon เข้าซื้อกิจการ Wholefoods กว่า 400 สาขา ด้วยเงินกว่า 13,700 ล้านเหรียญ และการเปิดหน้าร้านให้แก่สินค้าหนังสือในนาม Amazon Book Store และ หน้าร้านสินค้าอุปโภคบริโภคไฮเทคแบบไร้พนักงานแคชเชียร์ในนาม Amazon GO

ทีมข่าวต่างตั้งขอสันนิษฐานว่า การซื้อต่อหรือเช่าช่วงหน้าร้านที่เคยเป็นของ Toy “R” Us เพื่อใช้รองรับการเปิดสาขาเพิ่มให้แก่ธุรกิจ Offline ที่อยู่ในมือของ Amazon เอง โดยเฉพาะหลังจากนี้ Amazon มีการพัฒนาสินค้า Private label ของตัวเองมากขึ้น ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ Amazon Echo และ ผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าแฟชั่นในเครือ Amazon

Amazon ไม่ใช่รายเดียวที่สนใจพื้นที่ Toy “R” Us

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของ Amazon เป็นเพียงการพิจารณาเบื้องต้นและอย่างไม่เป็นทางการ และไม่ใช่ผู้สนใจรายเดียวในตลาด เพราะบริษัท Strategic Marks LLC ก็เป็นอีกองค์กรหนึ่งที่สนใจเข้าซื้อหรือเช่าช่วงต่อพื้นที่ดังกล่าวเช่นกัน โดยก่อนหน้านี้ Strategic Marks LLC เคยเข้ารับช่วงต่อพื้นที่หน้าร้านของ KB Toys ที่ปิดกิจการลงไป

Toy “R” Us ก่อตั้งในปี 1957 โดย Charles Lazarus ผ่านร้อนผ่านหนาวมากมาย ก่อนที่จะเจริญก้าวหน้ากลายเป็นธุรกิจระดับโลก กระทั่งภายหลังธุรกิจถดถอยจากการมาของ E-Commerce

ผู้บริโภคที่หันไปซื้อออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะการซื้อสินค้าบน Amazon ประกอบกับรายใหญ่อย่าง Walmart และ Target ต่างก็ปรับตัวไปยัง E-Commerce กันได้ทัน ซึ่งค้าปลีกรายใหญ่ทั้งหมดนี้ต่างก็ ขายของเล่น เหมือนกัน ส่งผลให้ Toy “R” Us เสียศักยภาพในการแข่งขัน และเข้าสู่กระบวนการล้มละลายเมือเดือน กันยายน 2017